วันเสาร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2557

French Mastiff สุนัขสายพันธุ์ที่แพงที่สุดในโลก

French Mastiff  สุนัขสายพันธุ์ที่แพงที่สุดในโลก 

Dogilike.com :: น้องหมาพันธุ์ไหนแพงสุดในโลก
สุนัขสายพันธุ์ที่ราคาแพงที่สุดในโลก 

รู้หรือไม่ สุนัขพันธุ์ไหนแพงที่สุดในโลก วันนี้นัทมีคำตอบมาให้จ้า เมื่อดูในพจนานุกรมของสุนัขพันธุ์mastiff  คำที่เจอแรกๆ จะต้องมีคำว่า “ใหญ่” และ “แข็งแรง” อยู่ด้วยแน่ๆ มาสทิฟที่ต่างสายพันธุ์ การปกป้องและการต่อสู้ของเขาก็จะแตกต่างกันด้วย น้องหมา 2 สายพันธุ์ที่มีราคาแพงมากที่สุดในโลกก็คือTibetan Mastiff” - มาสทิฟสายพันธุ์ธิเบต และ “French Mastiff” – มาสทิฟสายพันธุ์ฝรั่งเศส

Dogilike.com :: น้องหมาพันธุ์ไหนแพงสุดในโลก

มาสทิฟสายพันธุ์ธิเบต

มาสทิฟสายพันธุ์ธิเบตที่ตัวใหญ่ที่สุดเมื่อยืนจะสูง 31 นิ้ว และสายพันธุ์นี้จะมีน้ำหนักมากกว่า 63.5 กิโลกรัม น้องหมาอาจจะเป็นสีดำ สีเทา สีน้ำตาลหรือสีขาวก็เป็นไปได้ในบางครั้งแต่จะมีน้อยมาก

Dogilike.com :: น้องหมาพันธุ์ไหนแพงสุดในโลก

แต่ที่ดีที่สุดก็คือกลิ่นที่ขนของน้องหมาพันธุ์นี้ เค้าจะเลียขนเมื่อมีกลิ่นมา
รบกวนซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างความรำคาญให้กับน้องหมาพันธุ์ใหญ่ตัวอื่นๆ มาสทิฟทั้ง 2 สายพันธุ์ ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้พิทักษ์ปศุสัตว์และเคยมีรายงานออกมาว่ามาสทิฟเคยฆ่าเสือหลายๆ ตัว เพื่อปกป้องฝูงของมัน


Dogilike.com :: น้องหมาพันธุ์ไหนแพงสุดในโลก

มาสทิฟสายพันธุ์ฝรั่งเศส


มาสทิฟสายพันธุ์ฝรั่งเศสโดยปกติเมื่อเค้ายืนจะสูง 24 นิ้ว และน้ำหนักมากกว่า 45 กิโลกรัม มาสทิฟสายพันธุ์นี้อาจจะดูดุร้ายถ้าไม่ได้เลี้ยงเค้าตั้งแต่ตอนเล็กๆ กีฬาการต่อสู้ของน้องหมาพันธุ์นี้เป็นที่นิยมมากในเมืองบอร์โด ประเทศฝรั่งเศส น้องหมาสายพันธุ์นี้มีชื่อที่รูจักกันอีกชื่อว่าDogue de Bordeaux – ด๊อก เดอ บอร์โด  สาเหตุ ที่สายพันธุ์นี้แพงอาจมาจากบรรพบุรุษของเค้าที่ชื่อว่า อลันหรืออเลาท์ เป็นสายพันธุ์ที่อยู่ในยุคกลาง เป็นที่นิยมมากในในประเทศฝรั่งเศสช่วงต้นศตวรรษที่14 และถูกนำมาแข่งครั้งแรกในปีค.ศ.1863(พ.ศ.2406)

Dogilike.com :: น้องหมาพันธุ์ไหนแพงสุดในโลก

ถึง แม้ว่า มาสทิฟสายพันธุ์ฝรั่งเศสนี้จะกลายมาเป็นสุนัขตำรวจแต่น้องหมามาสทิฟนี้ก็ไม่ ได้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางนักนอกประเทศฝรั่งเศส จนกระทั่งในช่วงปลายของศตวรรษที่ 18 ที่มีการทำลายให้น้องหมาสายพันธุ์นี้สูญพันธุ์ไปเลย หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปีค.ศ.1970 (พ.ศ.2513) น้องหมามาสทิฟนี้จึงกลับมาเป็นที่นิยมกันอีกครั้ง

Dogilike.com :: น้องหมาพันธุ์ไหนแพงสุดในโลก

น้องหมาสายพันธุ์ฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียงต้องมีเจ้าเบสเล่ย์ (Beasley)ที่เคยได้แสดงหนังกับ ทอม แฮงส์ (Tom Hanks)ในเรื่อง Turner & Hooch และเจ้าแม็ก (Mac) ของนักฟุตบอลชื่อดัง ฟาน เด เมเดย์ ที่เคยหายไปแล้วและได้กลับคืนมาแล้วด้วย

Dogilike.com :: น้องหมาพันธุ์ไหนแพงสุดในโลก

ราคา ขายปัจจุบัน 1 แสน - 1 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับรูปร่างและพ่อแม่ของสุนัข สุนัขพันธุ์ทิเบตัน มาสทิฟ ได้ทำลายสถิติสุนัขที่แพงที่สุดในโลกด้วยราคา 20  ล้านบาท


วันศุกร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2557

นอร์มองดี (Normandy)

นอร์มองดี (Normandy)


           แคว้นนี้มีชื่อเสียงไปทั่วโลกด้วยภาพของโบสถ์บนยอดเขาแซ็งต์ มิเชล (Mont Saint-Michel) ซึ่งยืนหยัดท้าทายกาลเวลามาตั้งแต่ยุคที่พระในสมัยกลางได้ร่วมแรงกันก่อสร้างโบสถ์นี้ขึ้น นอร์มองดีเป็นศูนย์รวมที่ลงตัวของธรรมชาติจากท้องทะเลอันอุดม พื้นดินที่สมบูรณ์และชุมชนอันแสนสุข

           ทุ่งดอกไม้ริมน้ำสีสันสดใสงามสะพรั่งที่เมืองอ็งเฟลอร์ (Honfleur) หน้าผาหินธรรมชาติเป็นรูปหัวช้างดูแปลกตาที่เอเทรอตาต์ (Etretat) สถานที่โต้คลื่นที่โดวิล (Deauville) หรือชายฝั่งเว้าแหว่งที่โกต็องแต็ง (Cotentin) เป็นจุดเด่นทางธรรมชาติริมทะเลของแคว้นนี้ ส่วนด้านในลึกเข้าไปในแผ่นดินจะมีเส้นทางชมทิวทัศน์ที่ลัดเลาะไปตามแหล่งผลิตน้ำไซเดอร์ (ไวน์จากผลแอ๊ปเปิ้ล) มีกังหันลมแบบเก่าเป็นระยะและเนินป่าเชียวชอุ่ม นอกจากนี้ยังมีเส้นทางสาย Pays de Caux ที่งดงาม มีบ้านเรือนที่ประดับผนังด้านนอกด้วยไม้ซุงเป็นลวดลายเรขาคณิต วิหารประจำเมืองบาเยอซ์ (Bayeux) และอารามเก่าแก่อีกหลายแห่ง ทุกที่ของแคว้นมีอะไรใหม่ๆ ให้แปลกใจและตื่นตาได้เสมอ เช่นเดียวกับที่จิตรกรและนักเขียนชื่อดังหลายท่านติดใจในความงามของแสงสะท้อนระยิบระยับบนผิวแม่น้ำแซน ความสวยเกินบรรยายของชายทะเลและบรรยากาศที่เปี่ยมเสน่ห์ของท้องถิ่นนี้เป็นแรงบันดาลในการสร้างสรรค์ผลงานให้กับจิตรกรผู้มีพรสวรรค์ เช่น Millet, Eugène Boudin, Corot, Pissarro และเป็นที่ที่นักประพันธ์เอกอย่าง Victor Hugo หรือ Alexandre Dumas ผู้บิดา ใช้บรรยายเป็นฉากของนิยายชื่อดังหลายเรื่อง

          นอร์มองดีผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชนในประวัติศาสตร์ที่โลดโผน เป็นแหล่งศิลปะและประวัติศาสตร์ที่สำคัญ มีความโดดเด่นในแทบทุกด้าน รวมทั้งเรื่องอาหารการกิน โดยเฉพาะเนยสดและเนยแข็งที่มีมากถึง 32 ชนิด ครีมสดข้นมัน ไส้กรอกเครื่องในของเมืองก็อง (Caen) และวีร์ (Vire) เหล้า Calvados หอมแรงซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นของชั้นเลิศทั้งสิ้น


วันพฤหัสบดีที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2557

พิพิธภัณฑ์ออร์เซ

พิพิธภัณฑ์ออร์เซ


พิพิธภัณฑ์ออร์เซ่( Musee d'Orsay) เป็นพิพิธภัณฑ์ล่าสุดของฝรั่งเศส เป็นแหล่งรวบรวมศิลปะการตกแต่ง ประวัติศาสตร์ วรรณคดี เครื่องเรือน จิตรกรรม ภาพถ่าย รูปปั้น มีลักษณะผสมผสานระหว่างพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์และ ศูนย์วัฒนธรรมโบบูร์ก โดยปรับปรุงจากอาคารเก่า ของสถานีรถไฟออร์เซ่ย์ (Orsay) เดิม ประธานาธิบดี ฟร็องซัวส์ มิตเตอร็อง ( Francois Mitterand) ได้มาเป็นประธานในการเปิดพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน ค.ศ 1986
            พระราชวังแวร์ซายส์ (Le Palais de Versailles) พระราชวังแวร์ซายส์เป็นพระราชวังที่เก่าแก่ อยู่ทางทิศ ตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงปารีส แต่เดิมเป็นเพียงหมู่บ้าน ของชาวนา ต่อมาพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซึ่งทรงเป็นนักล่าสัตว์ ได้มาพบ มีความพอพระทัย จึงสร้างเป็นสถานที่นัดพบ ในการล่าสัตว์ และได้มีการขยายออกไปทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งกลายมาเป็นปราสาท พระราชวัง และมีการเลี้ยง ฉลองกันเรื่อยมา ปัจจุบัน พระราชวังนี้เป็นสัญญลักษณ์แห่งความรุ่งโรจน์ ของศิลปะและราชสำนักฝรั่งเศส สถาปนิกและวิศวกรรวม รวมทั้งมัณฑนากรหลายคน เช่นเลอโว (Le Vau) ม็องสาร์ต (Mansart) การ์บรีล์ (Gabriel) เลอบรัง (Le Brun) เลอโน๊ต (Le Notre) เป็นต้น ต่างได้ช่วยกันก่อสร้างตกแต่ง จนได้รับ การยกย่องว่าเป็นพระราชวังที่งดงามมาก ภายในพระราชวังมีภาพวาด ภาพแกะสลักซึ่งแสดง ให้เห็นเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศสหลายสมัย สถานที่แห่งนี้เคยใช้เป็นที่เซ็นสัญญาสงบศึกกับอเมริกา ในปี ค.ศ 1783 แวร์ซายส์ นับเป็นส่วนหนึ่งของแรงผลักดันที่ก่อให้เกิด การปฏิวัติครั้งใหญ่ในฝรั่งเศส เมื่อปี ค.ศ. 1789 ต่อมา ในปี ค.ศ. 1815 พระเจ้าหลุยส์-ฟิลิปป์ได้เปลี่ยนสภาพ พระราชวังแห่งนี้ให้เป็นพิพิธภัณฑ์ และใช้เป็นสถานที่ ลงนามในสัญญาสงบศึกสงครามโลกครั้งที่ 1 ระหว่าง ฝ่ายสัมพันธมิตรกับเยอรมัน เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 1919 นอกจากเครื่องประดับที่เก่าแก่ และสูงค่าแล้ว การจัดสวน ก็เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่างดงามยิ่งนัก เพราะมีการตกแต่ง ประดับประดาด้วยดอกไม้หลากสีสวยงามมาก โดยเฉพาะ ตอนฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน ส่วนที่เป็นป่าสำหรับล่าสัตว์ ปัจจุบันใช้เป็นที่ๆให้ผู้เข้าชมไปเดินเล่น พักผ่อน และมีม้าหิน ให้นั่งเล่นเป็นระยะๆ สิ่งที่ผู้เข้าชมพระราชวังอดจะชื่นชมไม่ได้ คือ น้ำพุ มีน้ำพุมากมายและสวยงาม มีชื่อตามเทพเจ้ากรีก และโรมันต่างๆ เช่น อพอลโล และลาโตน เป็นต้น

            สัญลักษณ์อีกอย่างนึงของปารีส ปกติไฟที่ส่องประตูชัยเป็นสีส้ม แต่วันนี้เป็นวันพิเศษ เป็นวันกองทัพฝรั่งเศส ประตูก็เลยกลายเป็นสีน้ำเงิน แล้วตรงกลางมีธงชาติประดับ  ประตูชัย (Arc de Triomphe) เป็นอีกสัญลักษณ์หนึ่งที่สำคัญของปารีส สร้างขึ้นเพื่อเป็นการฉลองชัยในสงคราม สมัยพระเจ้านโปเลียน โบนาปาร์ต ภายใต้โค้งประตูมหึมานี้ มีอนุสรณ์รำลึกถึงทหารนิรนามที่พลีชีพในสงครามโลก โดยมีเปลวไฟที่ลุกอยู่ไม่มีวันดับ เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อผู้พลีชีพเหล่านั้น ประตูชัยนี้ เป็นศูนย์กลางของถนนถึง 12 สายที่มาบรรจบกัน หากมองจากมุมสูงจะเห็นเป็นเหมือนรูปดาว 12 แฉก บริเวณนี้จึงถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า เอตวล (Etoile) ซึ่งแปลว่า ดวงดาว









วันพุธที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2557

มารี อองตัวเนต "กุหลาบแห่งแวร์ซาย"

มารี อองตัวเนต "กุหลาบแห่งแวร์ซาย"

          ตุลาคม ค.ศ. 1793 (พ.ศ. 2336) ปิดฉากชีวิตในแวร์ซายส์ของ มารีอองตัวเนต (Marie Antoinette) ราชินีแห่งฝรั่งเศสที่ฝูงชนแสนเกลียดชัง

          มาเรีย แอนโทเนีย โจเซปปา โจฮันน่า (Maria Antonia Josepha Johanna)ประสูติเมื่อ 2 พฤศจิกายน ค.ศ. 1755 (พ.ศ. 2298) ณ กรุงเวียนนา (Vienna) เป็นธิดาองค์ที่ 15 ของสมเด็จพระจักรพรรดิฟรานซ์ที่ 1(Emperor Francis I) แห่งโรมัน ดยุคใหญ่แห่งแคว้นทัสคานี (แห่งราชสำนักลอเรนน์) กับสมเด็จพระจักรพรรดินีนาถมาเรีย เทรีซา (Empress Maria Theresa)แห่งออสเตรีย มารี อองตัวเนตดำรงพระยศเป็น กษัตริย์ แห่งฮังการี และราชินีแห่งแคว้นโบฮีเมีย อาร์คดัชเชสแห่งออสเตรีย (แห่งราชสำนักฮับสบูร์ก) 


          อาร์คดัชเชสมารี อองตัวเนต เติบโตขึ้นที่พระราชวังฮอฟบูร์ก (Hofburg Palace)ในกรุงเวียนนา และ ปราสาทชอนบรุนน์ พระนางใช้ชีวิตเจ้าหญิงแห่งฮังการีแบบอิสระ ถูกเลี้ยงดูมาแบบง่ายๆ ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ไม่เข้มงวดดังเช่นราชนิกูลในราชสำนักฝรั่งเศส ในด้านการศึกษานั้น พระนางอ่านออกเขียนได้เมื่ออายุเกือบสิบชันษา เขียนภาษาเยอรมันได้บ้าง พูดภาษาฝรั่งเศสได้เพียงน้อยนิด แต่ยิ่งถ้าเป็นภาษาอิตาเลียนแล้วแทบจะไม่ได้เอาเสียเลย ส่วนทางด้านศิลปะ พระนางได้หัดเล่นฮาร์ปซิคอร์ด กับคีตกวีชื่อดัง คริสตอฟ วิลบัลด์ กลุค และเรียนนาฏศิลป์ฝรั่งเศสกับโนแว


            เมื่อเจริญพระชนพรรษาขึ้น เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน ค.ศ. 1769 (พ.ศ. 2312) มาร์กีแห่งดูร์ฟอร์ต ก็ได้มาสู่ขอพระนางเพื่ออภิเษกกับมกุฎราชกุมารแห่งฝรั่งเศส ผู้เป็นหลานชายคนโตของพระเจ้าหลุยส์ที่ 15  แต่ทว่าการหมั้นในครั้งนั้นถูกต่อต้านจากกลุ่มคนจากฝ่ายฝรั่งเศส ถึงกับเรียกมารี อองตัวเนตว่า "ผู้หญิงออสเตรีย" 


           ภายหลังที่พระนางประกาศสละสิทธิ์ในการเป็นอาร์คดัชเชสของราชสำนักออสเตรีย ก็ทรงเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับมกุฎราชกุมารฝรั่งเศส (พระเจ้าหลุยส์ที่ 16) ที่พระราชวังแวร์ซาย เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม ค.ศ. 1770 (พ.ศ. 2313)ท่ามกลางบรรยากาศที่อึมครึมไปด้วยกระแสต่อต้าน "ผู้หญิงออสเตรีย" ผู้นี้

           ด้วยพระชันษาเพียง 16 ปี  วุฒิภาวะในความเป็นสาววัยรุ่นของพระนาง ที่ต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนมาอภิเษกเพราะเหตุผลทางการเมืองระหว่างฝรั่งเศส-ออสเตรีย การที่จะต้องปรับตัวจากการที่ถูกเข้มงวดในพระราชพิธี และขนบประเพณีแบบฝรั่งเศส การไม่ได้รับการยอมรับจากพสกนิกรและชนชั้นสูงในราชสำนัก รวมทั้งไม่ได้รับการเหลียวแลจากมกุฎราชกุมารเท่าใดนัก (กว่าทั้งคู่จะเริ่มมีสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาอย่างแท้จริง ก็ล่วงเข้าปี พ.ศ. 2316) และต้องยอมรับว่าแรงกดดันเหล่านี้ส่งผลต่อการใช้ ชีวิตซึ่งมีส่วนสำคัญที่ผลักดันให้พระนางเดินมาในเส้นทางที่กลายเป็นโศกนาตก รรมในเวลาต่อมา


 

            ในแวร์ซายส์พระนางใช้ชีวิต สะดวกสบาย หรูหรา แสนสิ้นเปลือง จัดงานเลี้ยงที่ฟุ้งเฟ้อบ่อยครั้ง ตั้งวงพนันกับราชนิกุลด้วยเงินเดิมพันจำนวนมหาศาล สร้างความอิจฉาริษยาให้แก่นางสนมและราชนิกูลพระองค์อื่นๆอย่างมาก 


          แต่กับความเดียวดาย พระนางต้องพึ่งพาที่ปรึกษาเพียงจากจดหมายตอบโต้กับพระมารดา และท่านเค้าท์แห่ง แมร์ซี-อาร์จองโต ผู้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตออสเตรียประจำกรุงปารีส ซึ่งจดหมายเหล่านี้เองที่กลายเป็นข้อมูลสำคัญที่จะอธิบายช่วงชีวิตของมารี อองตัวเนตภายหลังการก้าวเข้ามาสู่ราชสำนักฝรั่งเศส

          ภายหลังจากพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 แห่งฝรั่งเศสเสด็จสวรรคตใน ค.ศ. 1774 พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แห่งฝรั่งเศส ขึ้นครองราชย์ และพระนางมารี อองตัวเนต ได้ทรงขึ้นเป็นราชินีแห่งฝรั่งเศส (Queen of France and Navarre )พระนางยังคงใช้ชีวิตในแวร์ซายที่แวดล้อมไปด้วยพระสหายสนิทที่เป็นผู้ทรงศักดินาจำนวนหนึ่ง อย่างฟุ้งเฟ้อกับสิ่งบันเทิงเริงรมย์เช่นเคย นอกจากนี้ ยังกล่าวกันว่าพระนางพยายามมีอิทธิพลทางการเมืองเหนือพระมหากษัตริย์ เห็นได้จากการที่แต่งตั้งและถอดถอนรัฐมนตรีหลายคนตามพระทัย หรือไม่ก็จากคำแนะนำของพระสหายสนิท จึงไม่แปลกที่กระแสต่อต้านพระนางจะเริ่มก่อตัวขึ้น

           กลุ่มคนที่ต่อต้านพระนาง ได้ใช้วิธีโจมด้วยการแจกใบปลิวกล่าวหาว่า พระนางมีชายชู้ หรือแม้กระทั่งมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับสตรีด้วยกัน ใช้เงินอย่างสุรุ่ยสุร่าย ไม่ว่าพระนางจะพยายามทำทุกวิถีทางที่จะต่อสู้กับกลุ่มที่ต่อต้าน แต่ทว่าก็ไม่ประสบผลสำเร็จ

          ในวันที่ 19 ธันวาคม ค.ศ. 1778 (พ.ศ. 2321) พระนางได้มีประสูติกาลพระธิดาองค์แรก มีพระนามว่า มารี-เทเรสแห่งฝรั่งเศสและต่อมาในวันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 1781 (พ.ศ. 2324) ก็ได้ให้กำเนิดเจ้าชายหลุยส์-โจเซฟ มกุฎราชกุมารและได้ได้ให้กำเนิดพระโอรสองค์ที่สองเมื่อวันที่ 27 มีนาคม ค.ศ. 1785 (พ.ศ. 2328) มีพระนามว่าเจ้าชายหลุยส์-ชาร์ล ดำรงตำแหน่งดยุคแห่นอร์มงดี แต่ทว่าการมีประสูติกาลเหล่านี้ กลับนำปัญหามาให้พระนางตามมาด้วยถูกกล่าวหาว่า โอรสธิดานั้นไม่ได้มีเชื้อสายของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ถึงขนาดว่ามีเสียงร่ำลือว่าจะมีการพิสูจน์สายเลือดของโอรสธิดา


         พระนางยังมีเรื่องราวให้ผู้ที่ต่อต้านกล่าวถึงมากมาย ไม่ว่าจะการถูกกล่าวหาว่า พัวพันกับคดีกีเนส เรื่องอื้อฉาวในคดีสร้อยพระศอที่แม้ว่าพระนางจะไม่มีความผิดแต่ก็เสียพระเกียรติเป็นอันมาก การใช้จ่ายจำนวนมากในยามที่บ้านเมืองแร้นเเค้น ทั้งการใช้เงินจำนวนมากปรับปรุงพระตำหนักของพระนาง รวมทั้งเสียงประชดที่พระนางหลบไปใช้ชีวิตเลียนแบบธรรมชาติอย่างไร้เดียงสาที่พระตำหนักเปอติ ทรีอานง ที่สร้างเป็นหมู่บ้านชนบท มีฟาร์มขนาดเล็กในพระราชวังแวร์ซายที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 สร้างขึ้นเพื่อมอบให้กับพระนาง


           การต่อต้านทวีความรุนแรงขึ้น มีการแจกจ่ายหนังสือต่อต่านระบอบกษัตริย์  ตั้งราคาพระเศียรของมารี อองตัวเนต อีกทั้งกล่าวว่าพระนางต้องการลอบวางระเบิดรัฐสภาและต้องการส่งทหารเข้ามาในกรุงปารีส ประชาชนที่อดยากและไม่พอใจในการใช้จ่ายเงินทองที่ฟุ่มเฟือยในราสำนัก ประชาชนที่อดอยากจึงลุกฮือบุกเข้าไปในพระราชวัง และตามตามประกบระหว่างทางที่บรรดาเชื้อพระวงศ์เดินทางหนีภัยกลับกรุงปารีส พร้อมกับขู่พระนางมารี อองตัวเนต ว่า จะใช้เสาโคมในกรุงปารีสแขวนคอพระนาง


           ต่อมากลุ่มก่อการปฏิวัติบุกเข้าสู่ปารีส และสามารถจับกษัตริย์กับราชินีที่ได้หลบหนีไปได้ที่เมืองวาเรนน์-ออง-อาร์กอนน์ และได้นำตัวทั้งสองพระองค์กลับไปยังกรุงปารีส ในที่สุดพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ก็ต้องยอมรับระบอบประชาธิปไตย แม้ว่าทั้งสองพระองค์จะพยายามขอความช่วยเหลือจากราชวงศ์ต่างประเทศอย่างลับ ๆ ก็ไม่เป็นผล

            แต่ความวุ่นวายยังไม่สงบลงง่ายๆ ประชาชนชาวฝรั่งเศสได้ลุกขึ้นต่อต้านอำนาจรัฐอีกครั้ง ความวุ่นวายเลวร้ายถึงขนาดมีการสังหารหมู่เชื้อพระวงศ์ ประชาชนกล่าวโทษว่าพระนางมารี อองตัวเนตเป็นผู้ทำให้เมืองหลวงนองไปด้วยเลือด และเรียกพระนางว่า "นางปิศาจ" หรือไม่ก็ "มาดามผู้เป็นปฏิปักษ์ต่อกฎหมาย"

           และในวันที่ 21 มกราคม ค.ศ. 1793 (พ.ศ. 2336) สภาคณะปฏิวัติแห่งชาติฝรั่งเศสได้ลงมติให้ประหารพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 

           และในเวลาต่อมา พระนางมารี อองตัวเนตก็ได้ถูกตั้งข้อหาโดยศาลปฏิวัติว่าขายชาติกับประเทศมหาอำนาจต่างชาติพระนางถูกไต่สวนและถูกตัดสินประหารชีวิตในข้อหาเป็นทรราชขั้นร้ายแรงและถูกบั่นพระเศียรด้วยกิโยติน(guillotine)  เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ค.ศ. 1793 (พ.ศ. 2336)โดยปฏิเสธจะสารภาพบาปกับบาทหลวงที่คณะปฏิวัติจัดหาให้ ศพของพระนางถูกฝังในหลุมฝังศพลา มาเดอเลน บนถนนอองจู-ซังต์-ตอนอเร และถูกย้ายไปฝังไว้ที่วิหารซังต์ เดอนีส์ เมื่อวันที่ 21 มกราคม ต่อมาเมื่อวันที่ 18 มกราคมค.ศ. 1815 (พ.ศ. 2358)


ละแล้ว“กุหลาบแห่งแวร์ซาย” ดอกนี้ก็ถึงคราวต้องร่วงโรย......