วันอังคารที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ประเพณีปีใหม่แบบชาวฝรั่งเศส

ประเพณีปีใหม่แบบชาวฝรั่งเศส

            ประเทศฝรั่งเศสจะมีการฉลองปีใหม่กันในวันที่ 1 มกราคมของปฏิทินจอร์เจียน  โดยวันปีใหม่ของชาวฝรั่งเศสเรียกว่า เลอ ชัว เดอ ล็อง (le Jour de I'An)  ส่วนการฉลองวันปีใหม่จะเรียกว่า รีวียง (Reveillon) เทศกาลปีใหม่นับว่าเป็นเทศกาลที่เก่าแก่ที่สุดของฝรั่งเศส  และเป็นวันหยุดราชการอย่างเป็นทางการด้วย  ในวันนี้ชาวฝรั่งเศสจะออกไปพบปะกับเพื่อน ๆ และครอบครัวของพวกเขา  เพื่อเฉลิมฉลองวันพิเศษด้วยความปิติยินดี  มีการอำลาปีเก่าและการต้อนรับปีใหม่ด้วยความหวังถึงสิ่งดี ๆ ที่จะเข้ามา  หวังถึงความสำเร็จ  ความเจริญรุ่งเรือง  ความสุข  และสันติภาพ  โดยการฉลองปีใหม่จะเริ่มต้นขึ้นในคืนส่งท้ายปีเก่าและดำเนินไปจนถึงวันที่ 6 มกราคมของปีใหม่  ซึ่งในฝรั่งเศสนั้น  เขาจะเรียกคืนวันส่งท้ายปีเก่าว่า ลา ซัง ซีลีเวส (la Saint-Sylvestre)



              ในวันส่งท้ายปีเก่า  ชาวฝรั่งเศสจะทานอาหารค่ำมื้อพิเศษร่วมกัน  โดยเมนูอาหารที่เป็นที่นิยมมากก็คือ  เค้ก  โดยจะมีการตัดเค้กก้อนใหญ่แบ่งกัน  นอกจากนั้น  ยังมีเมนูพิเศษอื่น ๆ อีก  อย่างเช่น  แพนเค้ก  เป็ดหรือห่าน  มีการเสิร์ฟแชมเปญให้กับแขกผู้มาเยี่ยมเยือน  ตามประเพณีฝรั่งเศส  อาหารค่ำมือพิเศษนี้  จะนำความเจริญรุ่งเรืองและความโชคดีมาให้กับทุกชีวิตที่เข้าร่วมงานเฉลิมฉลอง  ส่วนทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของฝรั่งเศสก็จะมีการจัดขบวนพาเหรดในช่วงเย็น  ซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนที่เข้าไปมีส่วนร่วมในการร้องเพลงและเต้นรำในขบวนพาเหรด  ที่จะมุ่งหน้าไปยังสวนเพาะปลูกองุ่นเพื่อทำกิจกรรม  รวมไปทั้งการฉลองปีใหม่ด้วยการดื่มไวน์ร่วมกันด้วย

             การล่องเรือในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ก็เป็นที่นิยมในประเทศฝรั่งเศส  โดยการล่องเรือในวันส่งท้ายปีเก่าและต้อนรับปีใหม่ที่ว่านี้  จะเป็นการล่องเรือไปยังกลางมหาสมุทรหรือกลางทะเล  เพื่อจะทำให้เป็นช่วงเวลาที่พิเศษและน่าจดจำ  ซึ่งก็เป็นที่นิยมมากทั้งในหมู่ชาวฝรั่งเศสและนักท่องเที่ยว  จนในบางปีนั้น  พบว่าผู้คนมีความต้องการล่องเรือเพิ่มมากขึ้น  จนทำให้เป็นเรื่องยากที่จะกำหนดรายชื่อของผู้ที่จะขับเรือเพื่อนำคนออกไปล่องเรือเป็นคนสุดท้ายได้  

             นอกจากนี้  ในวันที่สองของการเฉลิมฉลองจะมีการจัดขบวนแห่ปีใหม่ขึ้นในกรุงปารีส  ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งการเฉลิมฉลองที่ได้รับความนิยมเช่น กัน  จนทำให้มีหลายคนที่ต้องตายไปด้วยสาเหตุจากการเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองนี้ 


           ชาวฝรั่งเศสท้องถิ่นหลายพันคน  นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ  พร้อมทั้งศิลปิน  นักร้อง นักเต้น  และนักแสดง  ก็เป็นส่วนหนึ่งของการเดินขบวนพาเหรดนี้  ซึ่งการเดินขบวนจะผ่านไปตามถนนต่าง ๆ ก่อนที่จะสิ้นสุดลงที่โตรกาเดโร (Trocadaro) ซึ่งอยู่ด้านล่างของหอไอเฟลนั่นเอง


         อย่างไรก็ตาม  การฉลองปีใหม่ของชาวฝรั่งเศสก็มักจะเป็นการฉลองกันแบบส่วนตัวมากกว่าจะเป็นการฉลองกับคนส่วนใหญ่  โดยผู้คนมักจะจัดงานปาร์ตี้ที่บ้านกับครอบครัวและเพื่อนสนิทที่ได้รับเชิญเท่านั้น  ซึ่งกิจกรรมก็จะประกอบไปด้วย การทานอาหารค่ำมื้อพิเศษที่ถูกจัดเตรียมไว้  และการเต้นรำร่วมกัน  ซึ่งในช่วงค่ำเราก็จะพบเห็นผู้คนเฉลิมฉลองและต้อนรับปีใหม่กันด้วยความปลื้มปีติและเต็มไปด้วยความรื่นเริง  และนอกเหนือไปจากงานปาร์ตี้ปีใหม่อย่างหนักแล้ว  ก็จะมีการส่งความปรารถนาดีให้แก่กันและกัน  ด้วยการแลกเปลี่ยนของขวัญกับคนใกล้ชิดและเป็นที่รัก  ซึ่งประเพณีการให้ของขวัญปีใหม่นี้  ถือเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะจะให้ความหมายมากไปกว่าการให้ของขวัญในวันอื่น ๆ   โดยของขวัญที่ให้อาจจะเป็นการ์ดอวยพร  คุกกี้พิเศษ ๆ  เค้ก  หรือของมงคลอื่น ๆ

        ที่นี่ยังมีอีกประเพณีที่สำคัญคือ เปอซง เดอัฟริล (Poisson d'Avril)  เป็นคำภาษาฝรั่งเศสซึ่งมีความหมายว่า  ปลาเมษายน  ประเพณีนี้จะเริ่มขึ้นในช่วงเวลาที่ก้าวเข้าสู่วันที่ 1 มกราคมอย่างเป็นทางการหรือเป็นวันขึ้นปีใหม่นั่นเอง ตั้งแต่เวลานั้น  ทุกคนที่ไม่ได้ทำตามประเพณีนี้จะถือว่าเป็นคนโง่หรือเป็นปลาเมษายน  ผู้คนจะเริ่มวางแผนการล้อเล่นกับผู้คนที่อยู่รอบตัวพวกเขา  โดยการส่งคำเชิญพวกเขามาที่ปาร์ตี้โกหกนี้  และจากการได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก  จึงทำให้ในปัจจุบัน  ประเพณีนี้ได้พัฒนาไปเป็นช่วงเวลาของการเล่นที่สนุกสนานและสร้างความบันเทิงสำหรับเด็ก ๆในประเทศฝรั่งเศสไปแล้ว

วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2556

Au monde le français มารู้จักภาษาฝรั่งเศส….กันดีกว่า

Au monde le français มารู้จักภาษาฝรั่งเศส….กันดีกว่า

 ภาษาฝรั่งเศส (le français)

          เป็นหนึ่งในภาษากลุ่มโรมานซ์ที่สำคัญที่สุดเป็นรองเพียงภาษาสเปนและโปรตุเกส ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาที่มีคนนิยมเป็นอันดับที่ 11 ของโลก โดยเมื่อปี พ.ศ. 2542 มีคนพูดภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาแม่ (ฟรองโกโฟน) ประมาณ 77 ล้านคน และเมื่อรวมคนที่พูดเป็นภาษาที่สองแล้วจะมีประมาณ 128 ล้านคน ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาทางการ และภาษาที่ใช้ปกครองในชุมชนต่าง ๆโดยเฉพาะประเทศที่เคยเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส รวมถึงองค์กรต่าง ๆ ด้วย (เช่น สหภาพยุโรป ไอโอซี องค์การสหประชาชาติ และ สหภาพสากลไปรษณีย์)
ในสมัยก่อนภาษาฝรั่งเศสถือเป็นภาษาสากลที่แพร่หลายที่สุด โดยมีสถานะเฉกเช่นภาษาอังกฤษในปัจจุบัน
หนังสือเดินทางของไทยก็เคยใช้ภาษาฝรั่งเศสควบคู่กับภาษาไทย



ประวัติ

          ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาในกลุ่มภาษาโรมานซ์ กล่าวคือ เป็นภาษาที่มีต้นกำเนิดจากภาษาละตินที่พูดกันในจักรวรรดิโรมันโบราณ ก่อนหน้าที่ดินแดนที่เป็นที่ตั่งประเทศฝรั่งเศสในปัจจุบันจะอยู่ใต้การปกครองของโรมัน
ดินแดนดังกล่าวเคยอยู่ใต้การปกครองของพวกกอล ซึ่งเป็นหนึ่งในชนชาติเซลต์ ในสมัยนั้นดินแดนประเทศฝรั่งเศสมีคนที่พูดภาษาถิ่นต่าง ๆ กันหลายภาษา แม้ว่าชาวฝรั่งเศสจะชอบสืบที่มาของภาษาของตนไปถึงพวกโกล (les Gaulois) แต่มีคำในภาษาฝรั่งเศสเพียง 2,000 คำเท่านั้นที่มีที่มามาจากภาษาของพวกโกล
ซึ่งโดยมากจะเป็นคำที่ใช้เป็นชื่อสถานที่ หรือเป็นคำที่มีความหมายเกี่ยวกับธรรมชาติ หลังจากที่ชาวโรมันได้เข้ามายึดดินแดนของพวกโกล คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นก็ได้เปลี่ยนมาพูดภาษาละติน ซึ่งภาษาละตินที่พูดกันในบริเวณนี้ ไม่ใช่ภาษาละตินชั้นสูงแบบที่พูดกันในหมู่ชนชั้นสูงของกรุงโรม แต่เป็นภาษาละตินของชาวบ้าน (vulgar latin) ที่พูดกันในหมู่พลทหาร นอกจากนี้ ภาษาละตินที่พูดกันอยู่ในฝรั่งเศสนั้น ก็ได้รับอิทธิพลจากภาษากอลอยู่พอควร เนื่องจากสิ่งของบางอย่างที่ใช้กันอยู่ในกอล พวกโรมันไม่มีชื่อเรียก จึงต้องขอยืมคำในภาษาโกลมาเรียกสิ่งของเหล่านั้น เช่น les braies ซึ่งแปลว่าเครื่องแต่งกายจำพวกกางเกงของชาวโกล


วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ชอร์ช เดอ ลา ตูร์ จิตรกรสมัยบาโรกคนสำคัญของฝรั่งเศส

ชอร์ช เดอ ลา ตูร์ จิตรกรสมัยบาโรกคนสำคัญของฝรั่งเศส

“นักบุญแมรี แม็กดาเลน” โดย ชอร์ช เดอ ลา ตูร์


“คนเล่น Hurdy-gurdy” นองส์ ประเทศฝรั่งเศส

ชอร์ช เดอ ลา ตูร์ หรือ จอร์จ เดอ ลา ทัวร์ (Georges de La Tour) (13 มีนาคม พ.ศ. 2136 - 30 มกราคม พ.ศ. 2195) จิตรกรสมัยบาโรกคนสำคัญของประเทศฝรั่งเศสในคริสต์ศตวรรษที่ 17 

มีความเชี่ยวชาญทางการเขียนภาพสีน้ำมัน โดยการเน้นการใช้ "ค่าต่างแสง" (Chiaroscuro) หรือการใช้ความตัดกันอย่างชัดเจนของแสงและเงา

ชีวิต

ชอร์ช เดอ ลา ตูร์ เกิดที่เมืองวิค เซอร์ เซลล์ในแคว้นลอเรนซึ่งผนวกกับฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1641 ในระหว่างที่เดอ ลา ตูร์ยังมีชีวิตอยู่ จากใบรับศีลจุ่มเดอ ลา ตูร์เป็นลูกของ ฌอง เดอ ลา ตูร์คนอบขนมปังและซิบีลล์ เดอ ลา ตูร์ ชื่อเดิม โมเลียง

กล่าวกันว่าซิบีลล์มาจากครอบครัวที่มียศศักดิ์ เดอ ลา ตูร์เป็นลูกคนที่สองในบรรดาพี่น้องเจ็ดคน

เราไม่ทราบรายละเอียดการศึกษาเบื้องต้นของเดอ ลา ตูร์ แต่สรุปได้ว่าได้เดินทางไปอิตาลีหรือเนเธอร์แลนด์เมื่อเริ่มงานใหม่ๆ 

งานของเดอ ลา ตูร์มีลักษณะเป็นบาโรกแบบธรรมชาติของคาราวัจโจ แต่เดอ ลา ตูร์คงได้ลักษณะนี้มาจาก “การเขียนแบบคาราวัจโจ” จิตรกรชาวเนเธอร์แลนด์ ตระกูลการเขียนภาพแบบอูเทรคช (Utrecht School) 

และจิตรกรทางยุโรปตอนเหนือ เดอ ลา ตูร์มักจะเปรียบกับเฮ็นดริค เทอร์บรุกเก็น (Hendrick Terbrugghen)

ในปี ค.ศ. 1617 เดอ ลา ตูร์ ก็แต่งงานกับเลอเนิร์ฟ จากครอบครัวขุนนางย่อยๆ และในปี ค.ศ. 1620 ก็ได้สร้างสติวดิโอที่เมืองเล็กๆ ชื่อ ลูเนอวิลล์

ระหว่างนี้เดอ ลา ตูร์ ก็เขียนภาพเกี่ยวกับศาสนาและฉากอื่นๆ ในปี ค.ศ. 1638 ก็ได้รับแต่งตั้งในตำแหน่ง “จิตรกรของพระเจ้าแผ่นดิน” (แห่งฝรั่งเศส) นอกจากนั้นเดอ ลา ตูร์ก็ยังทำงานให้ดู๊คแห่งลอเรนระหว่างปี ค.ศ. 1623–1624 

แต่ลูกค้าหลักคือชาวเมืองที่มีฐานะ ทำให้เดอ ลา ตูร์มีฐานะดี ระหว่างปี ค.ศ. 1639–1642 ไม่มีหลักฐานกล่าวถึงเดอ ลา ตูร์ ในลูเนอวิลล์ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเดอ ลา ตูร์เดินทาง 

บลันท์ มองเห็นว่าลักษณะงานตั้งแต่จุดนี้เริ่มเปลี่ยนไป มีอิทธิพลของ เจอราร์ด ฟาน โฮนท์ฮอร์สต์ 

เดอ ลา ตูร์ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการฟื้นฟูศาสนาในลอเรน ที่นำโดยนักบวชลัทธิฟรานซิสกัน 

เดอ ลา ตูร์ๆ จะเขียนภาพจากเรื่องราวศาสนาเป็นส่วนใหญ่ แต่ใช้วิธีการวาดภาพของเดอ ลา ตูร์จะเป็นวิธีของศิลปะร่วมสมัย

เดอ ลา ตูร์และภรรยาเสียชืวิตจากโรคระบาดเมื่อปี ค.ศ. 1652 เอเทียงลูกชายเป็นลูกศิษย์

ภาพเขียน

งานสมัยต้นของชอร์ช เดอ ลา ตูร์ แสดงอิทธิพลของคาราวัจโจซึ่งอาจจะได้รับมาจากจิตรกรเนเธอร์แลนด์ร่วมสมัย ภาพ “โกงไพ่” (Le Tricheur) และขอทานทะเลาะกันมาจากผู้ที่เรียกว่า คาราวัจจิสติ 

และ จาร์ค เบลลานจ (Jacques Bellange) จิตรกรลอเรนด้วยกัน รูปเขียนกลุ่มนี้เชื่อกันว่าเขึยนเมื่อ เดอ ลา ตูร์ เพิ่งเริ่มเขียนภาพ

เดอ ลา ตูร์ มีชื่อเสียงในการเขียนแสงกลางคืน ซี่งคาราวัจจิสตินำมาจากคาราวัจโจและเดอ ลา ตูร์ วิวัฒนาการขึ้นอีกมากและนำมาใช้ในการเขียนภาพชีวิตร่วมสมัยและศิลปะศาสนา 

เดอ ลา ตูร์ เริ่มเขียนวิธีนี้ราวต้นคริสต์ทศวรรษ 1640 โดยใช้ความตัดกันอย่างชัดเจนของแสงและเงา ที่เรียกว่า “ค่าต่างแสง” (chiaroscuro) องค์ประกอบที่เป็นเรขาคณิต และการวางรูปแบบที่ง่ายๆ ไม่ซับซ้อน 

งานของเดอ ลา ตูร์ค่อยวิวัฒนาการมามีลักษณะนิ่ง และ ง่ายขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นการนำคุณค่าของคาราวัจโจมาใช้ ซึ่งแตกต่างจากคุณค่าที่ใช้โดย จูเซพเป เดอ ริเบอรา (Jusepe de Ribera) และ ผู้ใช้ “ค่าต่างแสงหนัก” (Tenebrism) อึกกลุ่มหนึ่ง

เดอ ลา ตูร์ มักจะเขียนภาพต่อเนื่องของหัวข้อเดียวกัน (คล้ายวิธีที่โคลด โมเนท์ใช้) และมีงานเขียนไม่มาก เอเทืยงลูกชายผู้เป็นลูกศิษย์และยากที่จะบอกความแตกต่างของงานเขียนของจิตรกรสองคนนี้

เช่นภาพ “การศึกษาของพระแม่มารี” ที่พิพิธภัณฑ์ฟริค นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา หลังจากเดอ ลา ตูร์เสียชีวิตเมื่อปี ค.ศ. 1652 งานของเดอ ลา ตูร์ก็ลืมกันไป

แต่มาพบอีกครั้งโดยเฮอร์มัน ฟอส นักวิชาการชาวเยอรมันเมื่อปี ค.ศ. 1915 และเมื่อมีการแสดงภาพของเดอ ลา ตูร์ ที่ปารีสก็ยิ่งทำให้มีผู้สนใจมากขึ้น

ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ก็มีการพบภาพเขียนอื่นๆ ของเดอ ลา ตูร์ นอกจากนั้นก็มีการลอกเลียนโดยมืออาชีพอีกมากตามความต้องการของสาธารณะ

ลักษณะบางแง่ของเดอ ลา ตูร์ ยังเป็นที่ถกเถียงกันในบรรดานักประวัติศาสตร์ศิลปะ

วันเสาร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2556

การดื่มไวน์ของชาวฝรั่งเศส


การดื่มไวน์ของชาวฝรั่งเศส 

             ในระยะสี่สิบปีที่ผ่านมา ไม่มีประเทศ ไหนในโลกลดการบริโภคแอลกอฮอล์มากไปกว่าฝรั่งเศส  ในขณะที่การดื่มเบียร์และเหล้าค่อนข้างจะคงที่ การบริโภคไวน์ต่อหัวลดลงจากคนละ 20 ลิตรในปี 1962 เป็นคนละ 8 ลิตรในปี  ถ้านับเป็นแก้วแล้ว นั่นหมายความว่า เดี๋ยวนี้ คนฝรั่งเศสดื่มไวน์กันประมาณ 235 แก้วต่อคนต่อปี ลดลงจากเดิมที่เคยดื่มกันคนละ 425 แก้วต่อปี 
แล้วก็คาดกันว่ามันจะลดลงไปยิ่งขึ้นและโดยเร็วยิ่งขึ้นในอนาคต   เหตุผลสำาคัญสามประการที่การบริโภคไวน์ของฝรั่งเศสลดลงมีดังนี้ 

               เหตุผลหนึ่งที่การบริโภคไวน์ของฝรั่งเศสลดลงก็คือมื้ออาหาร ฝรั่งเศสเร่งรีบขึ้น   ในปี 1978 ชาวฝรั่งเศสใช้เวลา 82 นาทีกินอาหารมื้อหนึ่ง ๆ โดยเฉลี่ย   เวลาขนาดนั้นทำาให้คนกินมีเวลาเยอะแยะที่จะดื่มไวน์ได้ครึ่งขวดเสิร์ฟเลย ถ้าไม่ได้ดื่มทั้งขวดทุกวันนี้มื้ออาหารฝรั่งเศสใช้เวลาโดยเฉลี่ยลดลงเหลือแค่ 38 นาที – แล้วยังเป็นไปได้อีกมากกว่างที่ไหน ๆ ในยุโรปที่ว่ามื้อ อาหารนั้นจะมีเบอร์เกอร์และมันทอดของแมคโดนัลด์รวมอยู่ด้วย  ไวน์เป็นผู้รับเคราะห์จากการ ที่การกินอาหารเป็นมื้อสบาย ๆ หายไป  มันไม่ได้เป็นเป้าหมายของการเปลี่ยนแปลง แต่ที่การบริโภคไวน์ลดลงเป็นผลข้างเคียงของชีวิตที่ไม่อยู่นิ่ง สมัยใหม่ ขึ้น รวดเร็วขึ้นที่เกิดขึ้น หลังจากที่ได้ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงมาเป็นเวลาหลาย ๆ ศตวรรษ ฝรั่งเศสก็กำาลังทันสมัยขึ้น และนิสัยความคุ้นเคยในโลกใบเก่าก็กำลังหลีกทางไป อย่างรวดเร็ว 


                 เหตุผลที่สองที่การบริโภคไวน์ของฝรั่งเศสลดลง ก็คือการรณรงค์เรื่องความปลอดภัยระดับชาติ ซึ่งเน้นไปที่ความปลอดภัยบนท้องถนนเป็นหลักตามข้อมูลเมื่อปี 2004 มีการตาย เนื่องจากอุบัติเหตุการจราจรซึ่งมีแอลกอฮอลเกี่ยวข้องอยู่ด้วยประมาณ 10,000 รายต่อปีในสหภาพยุโรป   ในขณะที่สหรัฐอเมริกา เพิ่มอายุคนที่จะดื่มสุราได้ (ตามกฎหมาย) เป็น 21 ซึ่งผู้เชี่ยวชาญเห็นพ้องต้องกันว่าได้ช่วยชีวิตคนไว้เป็นหมื่น ๆ คน ฝรั่งเศสยังไม่ได้คิดอย่างจริงจังว่าจะเพิ่มอายุ คนที่ดื่มสุราได้ (ซึ่งในฝรั่งเศสคืออายุ) อย่างไรก็ตาม กระทรวงคมนาคมได้กำาจัด พวกเมาแล้วขับในระยะหลาย ๆ ปีที่เพิ่งผ่านมานี้ และยังได้เริ่มดำาเนินการรณรงค์การให้ความรู้แก่ประชาชน ซึ่งจัดขึ้นเพื่อเตือนให้พวกเขารู้ถึงผลลัพธ์ของการขับ รถขณะที่เมาสุรา  บรรดาคนขับรถก็ให้ความใส่ใจเรื่องนี้อย่างมากขนาดที่บรรดาผู้ผลิตไวน์ที่ผลกำาไรของตนเองกำาลังลดลง ฮวบฮาบฟ้องร้องรัฐบาล – แล้วก็ดำาเนินการรุกต้านให้มีการจัดไวน์ให้อยู่ในประเภทอาหาร  ซึ่งถ้าทำาอย่างนั้นแล้ว ไม่เพียงแต่จะกำาจัด (ไม่ต้องพิมพ์) คำาเตือนที่พิมพ์ไว้บนขวด ไวน์ได้แล้ว การโฆษณาไวน์ทางวิทยุและโทรทัศน์ก็จะไม่ต้องถูกควบคุมอีกต่อไป


               เหตุผลที่สามที่ชาวฝรั่งเศสดื่มไวน์น้อยลงก็คือการที่พวกเขาตระหนักเรื่องสุขภาพมากขึ้น ในปี 2007 นิสัยสำคัญอย่างหนึ่งของ ชาวฝรั่งเศส ซึ่งคือการสูบบุหรี่ในที่สาธารณะถูกห้าม เนื่องจากความกังวลเรื่องความเสี่ยงจากการได้รับควันบุหรี่ที่คนอื่นสูบในทำานองเดียวกัน ความกังวลเรื่องผลลัพธ์ที่ร้ายแรงของการ ดื่มแอลกอฮอลที่มีต่อสุขภาพได้นำาไปสู่การบริโภคแอลกอฮอลที่ลดลงประมาณ ร้อยละ 70 ของชาวฝรั่งเศสปัจจุบันไม่ดื่มเหล้าและไม่สูบบุหรี่  กล่าวโดยสรุป มีปัจจัยสองสามประการ แน่ ๆ ที่มีส่วนทำให้การบริโภคไวน์ของฝรั่งเศสมีแนวโน้มลดลง นอกจากนั้น ดูเหมือนว่าฝรั่งเศสจะไปพึ่งพาคนรุ่นต่อไปให้ช่วย อุตสาหกรรมไวน์เอาไว้ก็ไม่ได้ เนื่องจากผู้อพยพที่มาฝรั่งเศสในทศวรรษหลัง ๆ นี้ส่วนใหญ่เป็นมุสลิม และมุสลิมที่ปฏิบัติตามหลักศาสนาก็จะไม่ดื่มแอลกอฮอลถ้าจะมีอะไรเกิดขึ้นละก็ ประชากรมุสลิมที่เพิ่มขึ้นนั้นอาจจะทำาให้ปัญหายิ่งแย่หนักเข้าไปอีก และที่ดินซึ่งขณะนี้ใช้ทาไร่องุ่นอาจจะมีค่ามากขึ้นหากใช้ เป็นที่อยู่อาศัย





วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2556

Pont des Arts สะพานกุญแจแห่งรัก

Pont des Arts  สะพานกุญแจแห่งรัก


Pont des Arts เป็นสะพานที่เชื่อมสองฝั่งแม่น้ำเซน ปารีส ช่วง Musée du Louvre และ Institut de France



สะพาน Pont des Arts เป็นสะพานแห่งแรกในกรุงปารีสที่มีโครงสร้างทำด้วยเหล็ก สร้างในสมัยจักรพรรดิ์นโปเลียน ในปี ค.ศ.1802 ได้นำแบบอย่างมาจากประเทศอังกฤษ


มุมมองด้านพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (Musée du Louvre) ถึงแม้โครงสร้างของสะพานจะเป็นเหล็ก แต่ออกแบบได้สวยงามไม่เทอะทะ มีความโปร่ง เส้นโค้งของโครงสร้างมีจังหวะจะโคนสวยงาม


และอีกฝั่งหนึ่งด้าน Institut de France เสียดายเป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้ว ต้องถ่ายย้อนแสงทำให้ไม่ได้รายละเอียดของอาคารและยอดโดม


จึงเอาภาพ Institut de France ที่ถ่ายจากในเรือมาลงแทน


สะพานแห่งนี้เคยชำรุดเนื่องจากกาลเวลาและถูกระเบิดเสียหายในสมัยสงครามโลกทั้งสอง จึงได้ปรับปรุงใหม่เมื่อประมาณปี ค.ศ. 1981 ดังที่เห็นในปัจจุบัน พื้นของสะพานเป็นไม้ เวลาเดินผ่านได้ยินเสียงขยับตัวของพื้นไม้ ทำให้ได้ความรู้สึกอีกแบบหนึ่ง



ยิ่งได้ยินเสียงเพลงจากแอ้คคอเดี้ยนของวนิพกพเนจรคนนี้เป็นแบ้คกราวน์ประกอบด้วยแล้ว ได้อารมณ์ความเป็นฝรั่งเศสขึ้นมาทันที เพราะเพลงที่บรรเลงเป็นเพลงสไตล์ฝรั่งเศษที่คุ้นหู 


แต่สิ่งสำคัญที่ทำให้สะพานแห่งนี้มีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นจุดหมายของคู่รักและนักท่องเที่่ยวจากทั่วโลก ก็คือกุญแจที่คล้องเต็มราวสะพานทั้งสองข้างนี่เอง


กุญแจส่วนใหญ่จะมีชื่อคู่รักเขียนหรือสลักติดไว้


 
นอกจากชื่อแล้วก็ยังมีข้อความหรือสัญลักษณ์ต่างๆ และที่น่าสนใจก็คือรูปแบบที่หลากหลายของของกุญแจ มีทั้งใหม่เอี่ยมและเก่าจนสนิมเขรอะ


มีความเชื่อกันว่าเมื่อคู่รักคู่ใดได้มาอฐิษฐานความรัก พร้อมกับคล้องกุญแจไว้ที่สะพานแห่งความรักนี้แล้ว ความรักของทั้งสองจะอยู่ยั้งยืนยงชนิดที่ว่าไม่มีอะไรที่จะพรากได้ เพราะลูกกุญแจได้โยนทิ่งน้ำไปหลังจากล้อคเรียบร้อยแล้ว


แสงอาทิตย์ยามบ่ายส่องกระทบกุญแจ ดูเหมือนประกายแห่งความรักจะเปล่งแสงระยิบระยับ ผมชอบกุญแจสีแดงที่มีห่วงด้านซ้ายของภาพ ออกแบบได้น่ารักร้อนแรงดี



วันพฤหัสบดีที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2556

Origines du Père Noel ต้นกำเนิดของซานตาคลอส

Origines du Père Noel ต้นกำเนิดของซานตาคลอส



ซานตาคลอสได้รับแรงบันดาลใจมาจากนักบุญชื่อว่า เซนต์นิโคลัส หรือเซนต์นิโคลา ในภาษาฝรั่งเศส ซึ่งได้มอบแรงบรรดาลใจ ในตัวแทนสัญลักษณ์ทุกอย่างที่เป็นซานตาคลอสอย่างเป็นรูปเป็นร่าง ไม่ว่าจะเป็น เครายาวสีขาว หมวกไมเทอร์ (หมวกของนักบวช) ให้กลายมาเป็นหมวกขนสัตว์ , เสื้อคลุมสีแดงขนาดใหญ่ ซานตาคลอสจะเดินทางด้วยเลื่อน ซึ่งถูกลากจูงด้วยลา และด้วยเหตุนี้นี่เอง ที่ทำในบางภูมิภาคของฝรั่งเศส เด็ก ๆ จะวางแก้วไวน์ และ "หัวแครอท" สำหรับ "ลา" ไว้ได้ต้นคริสมาสต์

ซานตาคลอสในยุคแรก

ในแต่ละภูมิภาคของประเทศฝรั่งเศสซาสตาคลอสได้ถูกขนานนามอย่างแตกต่างกันออกไป
" Chalande " ใน Savoy 
" Père janvier " ใน Burgudy และ Nivernais, 
" Olentzaro " ในประเทศ basque (แบสค์) or 
" Barbassionné " ในนอร์มันดี 


เซนต์ นิโคลัสถูกนำเข้าสู่ประเทศสหรัฐอเมริกาในศตวรรษที่สิบเจ็ดโดยผู้อพยพชาว เยอรมันและดัตช์ซึ่ง ถูกอ้างอิงในเชิงพาณิชย์ว่ากระบวนการ เปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมและการแต่งกายให้กลายเป็นซันตาคลอสก็ดูจะเป็นมิตรมากขึ้น ซึ่งนำมาสู่รายได้ในยุโรป


ในปี 1821 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอเมริกัน, Clement Clarke เพื่อเติมในการเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับคริสต์มาส เพื่อการตีพิมพ์เผยแพร่สำหรับเด็ก โดยให้ซานตาคลอสอยู่ในเลื่อน ที่ถูกลากจูกด้วย กวางขนาดใหญ่ จำนวน 8 ตัว
เขาดูอวบอ้วนครึกครื้นและยิ้มแย้มแจ่มใส เขาเปลี่ยนหมวกใบเก่าที่เป็นหมวกของนักบุญ ให้เป็นหมวกแบบปัจจุบัน และเปลี่ยน ลาที่เทียมเลื่อน มาเป็นกวางเรนเดียขนาดใหญ่ และในปีต่อ ๆ มามีการเพิ่มเติม ในส่วนรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นเข็มขัดสีขาว บ้านของซานตาคลอสอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ แต่อย่างไรก็ตาม ก็จะยังคงรักษาภาพลักษณ์ของซานตาคลอสไว้ ให้มีรูปร่างอ้วนท้วม หน้าตาใจดี ยิ้มแย้มแจ่มใส และชุดคลุมสีแดงยาว ได้ถูกแทนทีด้วยกางเกงในภายหลัง

ซานตาคลอสตัวแทนของบริษัท โคคา โคลา ในยุคนั้น












วันพุธที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เรอเน เดสการ์ตส์

เรอเน เดสการ์ตส์  


            เดส์การตส์เกิดที่ประเทศฝรั่งเศส เขาสำเร็จการศึกษาด้านกฎหมายในปี ค.ศ. 1616 แม้ว่าต่อมาเขาจะไม่ได้ประกอบอาชีพเป็นนักกฎหมายแต่อย่างใด ในปี ค.ศ. 1618 เขาเริ่มทำงานให้กับเจ้าชายมัวริสแห่งนาซอ ผู้นำของกลุ่มจังหวัดของฮอลแลนด์ในขณะนั้น ด้วยความหวังว่าจะเอาดีในสายการทหาร และที่นั่นเองที่เขาได้พบกับ ไอแซค บีคแมน และได้แต่งเพลงชื่อว่า Compendium Musicae 

            ในปี ค.ศ. 1619 (พ.ศ. 2162) เขาได้เดินทางไปยังประเทศเยอรมนี และในวันที่ 10 พฤศจิกายน ในปีนี้เองที่เขาได้มองเห็นแนวคิดใหม่ของคณิตศาสตร์และระบบทางวิทยาศาสตร์ จากนั้นในปี ค.ศ. 1622 เขาได้เดินทางกลับไปยังฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 1627 เดส์การตส์ได้อยู่ในเหตุการณ์ยึดเมืองลาโรแชล (La Rochelle) ที่นำโดยบาทหลวงรีชลีเยอ (Richelieu) 

            ในปี ค.ศ. 1628 เขาได้แต่ง Rules for the Direction of the Mind และได้ย้ายไปอยู่ที่ประเทศฮอลแลนด์ ซึ่งเป็นที่เขาพำนักอยู่จนถึงปี ค.ศ. 1649 ในปี ค.ศ. 1629 เขาได้เริ่มงานเขียนชื่อ The World อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้จัดพิมพ์ผลงานชิ้นนี้ เนื่องจากทราบข่าวการตัดสินคดีของกาลิเลโอที่มีขึ้นในปี ค.ศ. 1633 เขาได้ลูกสาวในปี ค.ศ. 1635 อย่างไรก็ตามเธอได้เสียชีวิตลงในอีก 5 ปีถัดมา

              เขาได้ตีพิมพ์ Discourse on Method, พร้อมด้วย Optics, Meteorology and Geometry ในปีค.ศ. 1637 จากนั้นในปี ค.ศ. 1641 (พ.ศ. 2184) หนังสือชื่อ การครุ่นคิดเกี่ยวกับปรัชญาที่หนึ่ง (Meditations on First Philosophy) ก็ได้ถูกจัดพิมพ์ขึ้นพร้อมด้วยบทความรวมข้อโต้เถียงและคำตอบส่วนแรกที่มี 6 ชุด ในปี 1642 Meditations ฉบับพิมพ์ครั้งที่สองก็ได้รับการจัดพิมพ์พร้อมด้วยบทความรวมข้อโต้เถียงทั้งหมด 7 ชุด

              ในปี ค.ศ. 1643 ระบบคิดทางปรัชญาของเขาถูกประณามที่มหาวิทยาลัยแห่งอูเทรช และเขาได้เริ่มเขียนติดต่อกับพระนางเจ้าอลิซาเบทแห่งโบฮีเมีย (Princess Elizabeth) เดส์การตส์พิมพ์ Principles of Philosophy และเดินทางไปยังฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1644 และในปี ค.ศ. 1647 ได้รับรางวัลเป็นค่าใช้จ่ายรายเดือนโดยพระราชาแห่งฝรั่งเศส หลังจากนั้นเขาก็ได้พิมพ์หนังสืออีกหลายเล่มเช่น Comments on a Certain Broadsheet The Description of the Human Body และ Conversation with Burman. ในปี ค.ศ. 1649 เขาได้เดินทางไปประเทศสวีเดน ภายใต้คำเชิญของพระนางเจ้าคริสตินา (Queen Christina) และในปีนั้นหนังสือ Passions of the Soul ที่อุติแด่พระนางเจ้าอลิซาเบทแห่งโบฮีเมียได้รับการจัดพิมพ์ขึ้น 

              เรอเน เดส์การตส์เสียชีวิตเนื่องจากนิวโมเนียในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1650 (พ.ศ. 2193) ที่กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน เนื่องจากเขาเป็นชาวแคทอลิกในประเทศโปรเตสแตนต์ ศพของเขาจึงถูกฝังที่สุสานสำหรับทารกที่ไม่ได้ผ่านพิธีรับศีล หลังจากนั้นศพของเขาบางส่วนถูกนำไปประกอบพิธีที่ฝรั่งเศส และในช่วงปฏิวัติฝรั่งเศสศพของเขาก็ถูกย้ายไปฝังที่พาเทนอลในปารีส ร่วมกับนักคิดชาวฝรั่งเศสผู้ยิ่งใหญ่ท่านอื่น ๆ เมืองเกิดของเขาได้รับการเปลี่ยนชื่อเป็น La Haye - Descartes ในปี ค.ศ. 1667 หลังจากที่เขาเสียชีวิต ศาสนจักรโรมันคาทอลิก ได้ใส่งานของเขาเข้าไปในรายการหนังสือต้องห้าม (Index of Prohibited Books) 

ปัญหาของเดส์การ์ตส์ 
ปัญหาสำคัญในปรัชญา คือขาดคำตอบที่แน่นอนชัดเจนซึ่งตรงกับตรรกวิทยาและคณิตศาสตร์ ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากปรัชญาขาดพื้นฐานที่มั่นคงและมีข้อบกพร่องที่วิธีคิด วิธีคิดที่ถูกต้องนั่นเดส์การ์ตส์เห็นว่าคือวิธีคิคดแบบคณิตศาสตร์ โดยเฉพาะวิธีของเรขาคณิต 

           เดส์การ์ตส์เชื่อมั่นว่า ความจริงหรือความรู้ทางปรัชญานั้นจะเข้าถึงได้ด้วยเหตุผล ซึ่งต้องสร้างขึ้นเป็นระบบ การศึกษาปรัชญาเป็นการศึกษาเพื่อให้เกิดความรอบรู้และสติปัญญา จะทำให้เรามีความคิดที่รอบคอบและมีความรู้ที่สมบรูณ์เกี่ยวกับสรรพสิ่ง คำว่าปรัชญา เดส์การ์ตส์ หมายความถึง อภิปรัชญาและฟิสิกส์ หรือปรัชญาธรรมชาติ อภิปรัชญาศึกษาความคิดที่ชัดแจ้ง เกี่ยวกับ จิตหรือตัวตน สำหรับฟิสิกส์นั้นศึกษาเพื่อหาหลักการที่จะอธิบายเรื่องวัตถุศึกษาโครงสร้างของโลกและธรรมชาติของสิ่งต่างๆ เขาเปรียบเทียบว่าปรัชญาเหมือนกับต้นไม้ อภิปรัชญาเปรียบได้กับราก ฟิสิกส์เปรียบเหมือนลำต้น เดส์การ์ตส์เน้นความสำคัญของวิธีการ และอภิปรัชญามากกว่าจริยศาสตร์ ทั้งนี้ก็เพื่อสร้างรากและลำต้นที่แข็งแรงก่อน 

วิธีการของเดส์การ์ตส์ 
เดส์การ์ตส์เริ่มวิธีการของเขาด้วยความคิดที่ว่า เขาจำเป็นต้องหาจุดเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด โดยไม่เชื่อคำสอนของนักปรัชญารุ่นเก่า การจะเข้าถึงความรู้ที่ชัดเจนแจ่มแจ้ง ความคิดของเราต้องชัดเจนแจ่มแจ้งเป็นเบื้องต้น เดส์การ์ตส์เชื่อว่า โดยธรรมชาติจิตของเรามีอำนาจหรือสมรรถภาพสองอย่างคือ อัชฌัตติกญาณ และการอ้างเหตุผลแบบนิรนัย 

เดส์การ์ตส์ได้นำเอาวิธีการที่ใช่ในเรขาคณิตมาใช้ในวิธีการศึกษาปรัชญา คำว่าอัชฌัตติกญาณ เดส์การ์ตส์หมายถึง กิจกรรมทางปัญญาของจิตที่จะทำให้จิตเองเกิดความเข้าใจสิ่งใดๆ ได้อย่างชัดเจนในตัว

วิธีการนิรนัย เดส์การ์ตส์อธิบายว่า “เป็นการอนุมานจากข้อเท็จจริงที่เรารู้แล้วอย่างแน่นอน” จุดเริมต้นหรือข้อเสนอของวิธีการนิรนัยนั้นได้มาโดยอาศัยประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส เดส์การ์ตส์คิดว่า ประสาทสัมผัสให้ความรู้ที่สงสัยได้อาจเป็นสิ่งหลอกลวง เดส์การ์ตส์ไม่ได้ให้ความสำคัญต่อความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส

การสงสัยเชิงวิธีการ 
“ข้าพเจ้าคิดดังนั้นข้าพเจ้าจึงมีอยู่” (I think, therefore I m) 

เดส์การ์ตส์ใช้การสงสัยเป็นจุดเริ่มต้นในการหาความรู้ที่แน่นอนทุกสิ่งทุกอย่างสงสัยได้ทั้งสิ้น สิ่งที่เราเห็น สิ่งที่เราคิด สิ่งที่เราจินตนาการ ความสงสัย (doubt) นั่นเองเป็นสิ่งที่มีอยู่อย่างแน่นอน เราสงสัยต่อสิ่งใดๆ เท่ากับเป็นการยืนยันว่าความสงสัยของเรามีอยู่ 

เกิดความสงสัยก็คือเราเกิดความคิด ความคิดก็ต้องมีผู้คิด แสดงว่าผู้คิดต้องมีอยู่ จึงสรุปได้ว่าเมื่อ “ข้าพเจ้าคิดดังนั้นข้าพเจ้าจึงมีอยู่” (I think, therefore I m) ข้อความนี้เป็นความจริงที่ชัดเจนและแน่นอน คือเป็นมูลบทสำหรับนำไปพิสูจน์ความจริงอื่นๆ ต่อไป 

เดส์การ์ตส์แบ่งความคิดออกเป็น 3 ประเภท คือ
  1. ความคิดที่ได้จากประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส เป็นความคิดที่ไม่ชัดเจน น่าสงสัย
  2. ความคิดที่เกิดจากจินตนาการ ไม่ชัดเจนและน่าสงสัยเช่นกัน
  3. ความคิดที่ติดอยู่ในจิตตั้งแต่เกิด เป็นสิ่งที่จิตรู้ได้เองมีความชัดเจนในตัวและมีความแน่นอน
มาตรการตัดสินความจริง (Criterion of Truth) 
เดส์การ์ตส์อธิบายว่า สิ่งที่แจ่มแจ้งนั้น หมายถึงสิ่งซึ่งปรากฏอย่างชัดแจ้งต่อจิต และสิ่งที่ชัดเจน คือ สิ่งที่แน่นอนและแตกต่างจากสิ่งอื่นๆ ทั้งหมด นี่เป็นมาตราการตัดสินความจริงของเดส์การ์ตส์ 

การพิสูจน์ความมีอยู่ของพระเจ้า 
เริ่มต้นจากการสำรวจความคิดต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในจิตของเรามีอยู่สามประเภทคือ ความคิดที่ติดตัวมาแต่เกิด ความคิดที่มนุษย์สร้างขึ้นเอง และความคิดที่ได้มาจากวัตถุภายนอก ความคิดทั้งหลายนั้นย่อมมีสาเหตุที่ทำให้เกิด การคิดเกี่ยวกับพระเจ้านั้น เราจะคิดถึงพระองค์ในลักษณะเป็นสาร พระเจ้าเป็นสารที่ไร้ขอบเขตไม่สมบูรณ์เท่าพระเจ้า จึงเป็นไปไม่ได้ที่ความคิดเกี่ยวกับพระเจ้าที่สมบูรณ์จะมาจากจินของเราเองที่ไม่สมบูรณ์ การคิดถึงสิ่งสมบูรณ์ย่อมมาจากสาเหตุที่สมบูรณ์กว่า นั่นคือมาจากพระเจ้านั่นเอง พระเจ้าจึงเป็นสาเหตุแห่งความคิดนี้ พระเจ้ามีอยู่จริง และเนื่องจากพระเจ้าเป็นอมตะมีอำนาจสูงสุด เป็นสัพพัญญู มีความดีสูงสุด 

ความมีอยู่ของโลกภายนอก 
เข้าได้ยืนยันแล้วว่า ตัวเราในฐานะที่เป็นสิ่งที่คิดและเป็นสิ่งที่ไม่กินที่ มีอยู่จริง และตัวเราก็สามารถมีความคิดที่ชัดเจน แจ่มแจ้งเกี่ยวกับร่างกายเราเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่คิดและเป็นสิ่งกินที่ ดังนั้นร่างกายของเราจึงต้องมีอยู่จริง ถ้าเราคิดว่าวัตถุภายนอกตัวเราเป็นสิ่งที่พระเจ้าสร้างมาเพื่อหลอกลวงเรา ไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่จริง ความคิดเช่นนี้ก็น่าจะผิด เพราะพระเจ้ามีแต่ความดี จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะหลอกลวงเรา เมื่อเรารับรู้และเกิดความคิดเกี่ยวกับวัตถุนอกตัวเราอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ก็แสดงว่าต้องมีวัตถุที่เป็นสาเหตุแห่งการรับรู้หรือสาเหตุแห่งความคิดของเรา โลกของวัตถุภายนอกจึงมีอยู่อย่างเป็นอิสระจากจิตของเราแน่นอน 

ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างจิตกับร่าง จิตกับร่างกายเป็นสารสองอย่างที่แตกต่างกัน จิตเป็นสิ่งไม่กินที่ สามารถคิดได้ มีความรู้สึก ร่างกายเป็นสิ่งกินที่ ไม่มีความรู้สึกนึกคิด ทั้งสองมีความสัมพันธ์กัน สาเหตุทางร่างกายนอกจากจะมีผลกระทบต่อปรากฏการณ์ทางร่างกายด้วยกันแล้ว ยังมีผลกระทบต่อปรากฏการณ์ทางร่างกายด้วย คือ ทั้งจิตและร่างกายต่างก็ส่งผลกระทบซึ่งกันและกัน จุดที่ทำให้จิตกับร่างกายมีความสัมพันธ์กันหรือส่งผลกระทบถึงกันได้คือต่อมในสมองที่เรียกว่า pineal gland การอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างจิตกับร่างกายในลักษณะนี้เรียกว่าทฤษฎีกริยานิยม ซึ่งเป็นความคิดแบบทวินิยม




วันอังคารที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เรียนรู้มารยาทบนโต๊ะอาหารฝรั่งเศส

เรียนรู้มารยาทบนโต๊ะอาหารฝรั่งเศส 

           เรื่องมารยาทบนโต๊ะอาหาร หลายคนคิดไกลตัว และไม่จำเป็นเท่าไหร่ ทั้งที่จริงแล้วสำคัญนัก เพราะแค่ได้รับเชิญไปงานแต่ง หรือแม้แต่รับประทานอาหารกับเจ้านาย คุณก็อาจจับพลัดจับผลูเข้าไปร่วมมื้อหรู ที่คนอื่นรู้มารยาท และธรรมเนียมการปฏิบัติแบบสากลเป็นอย่างดี

           เรื่องบนโต๊ะอาหารแบบนี้ จะหากูรูสักคน คงไม่พ้นผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการร้านอาหารเป็นแน่ เราเลยมุ่งตรงไปที่ เลอนอร์มังดี (Le Normandie)ห้องอาหารฝรั่งเศสระดับไฮคลาส (Hi Class) แห่งโรงแรงแมนดาริน โอเรียนเต็ล พร้อมได้ คุณทิวา เย็นวัฒนา Wine Sommerlier ของที่นี่ มาอธิบายพร้อมสาธิต มารยาทการรับประทานอาหารตามแบบสากล   “สำหรับบนโต๊ะอาหาร มารยาทสากลในแบบที่เป็นทางการจริงๆ เครื่องมือ อย่าง ส้อม มีด ทุกอย่างจะถูกวางเรียงกันไว้เป็นจำนวนมาก เราก็หยิบจากด้านนอกเข้ามา แต่ในปัจจุบัน แม้จะเป็นห้องอาหารมีระดับในยุโรป ก็จะวางเครื่องมือไว้ไม่มากแล้ว ประมาณ 2 ชุดเท่านั้น ส่วนเครื่องมืออื่นๆ เมื่อถึงเวลาเสิร์ฟอาหาร บริกรถึงจะนำมาให้อีก” ไวน์ซอมเมอลิเยร์แห่งเลอนอร์มังดี เกริ่นนำให้ใจชื้นว่ามารยาทบนโต๊ะอาหารปัจจุบันไม่ได้ยุ่งยากนัก
      
 
ว่าแล้ว เรามาดูกันเถอะว่าการรับประทานอาหารให้ดูดี มีมารยาทตามหลักสากลนั้นเป็นอย่างไรบ้าง

เมื่อถึงโต๊ะอาหาร => ให้ผู้อาวุโส-สุภาพสตรี นั่งก่อน

“เมื่อเข้ามาถึงที่โต๊ะ ตามมารยาทนั้นต้องให้ผู้อาวุโสกว่านั่งก่อน แล้วก็ตามด้วยคุณผู้หญิง ซึ่งเท่าที่เราพบ แม้ปกติทางห้องอาหารจะมีบริกร คอยเลื่อนเก้าอี้ให้อยู่แล้ว แต่คุณผู้ชายหลายคนที่เป็นสุภาพบุรุษมากๆ จะเข้ามาแย่งเป็นคนเลื่อนเก้าอี้ให้คุณผู้หญิงเองเลย” ว้าว! สุภาพบุรุษกันซะจริง 

ผ้าเช็ดปาก => ห้ามนำมา “เหน็บคอเสื้อ” เด็ดขาด

เรียนรู้มารยาทบนโต๊ะอาหารฝรั่งเศส กับกูรูเลอนอร์มังดี แมนดาริน โอเรียลเต็ล

       หลังนั่งประจำที่แล้ว บริกรจะมาคลี่ผ้าเช็ดปาก หรือเน็ปกิ้น (napkin) ให้ค่ะ แต่หากคุณต้องการคลี่เอง ก็สามารถทำได้ โดยกูรูทิวาแนะนำว่า ให้พับเป็นสามเหลี่ยมเพราะใช้ง่าย ไม่เลื่อนหลุดขณะรับประทาน เมื่อต้องการเช็ดปาก เช็ดมือ ให้ใช้ปลายผ้าด้านในเช็ด และหลังเช็ดเสร็จ ให้เอาผ้าอีกด้านปิดไว้ ผู้ร่วมโต๊ะจะได้ไม่เห็นคราบที่ไม่น่ามอง โดยเฉพาะคุณสาวๆ ที่ทาลิปสติกสีจัดยิ่งต้องท่องให้ขึ้นใจ ว่าหากเช็ดที่ผ้าด้านนอก ประชาชีรอบข้างคงได้เห็นรอยปากเซ็กซี่ (ที่อยู่ผิดที่) ของคุณเป็นแน่

       ส่วนการนำผ้าเช็ด ปากมาเหน็บไว้ที่คอเสื้อนั้น กูรูย้ำไว้เลย อย่าได้ทำเชียว เพราะนั่นเป็นสไตล์ยุโรปเก่า เน้นคำว่า ‘เก่า’ ที่เอ้าท์สุดๆ ทำไปจะมีคนแอบขำเอาได้

ใช้มีด-ส้อม => จับให้เหมือนดินสอ

 เรียนรู้มารยาทบนโต๊ะอาหารฝรั่งเศส กับกูรูเลอนอร์มังดี แมนดาริน โอเรียลเต็ล

          อาหารชนิดแรกที่จะมาเสิร์ฟสำหรับห้องอาหารฝรั่งเศสแล้วจะเป็นขนมปังค่ะ ซึ่งหลายคนอาจเผลอไปใช้มีดตัด หรือเอาส้อมจิ้มเข้าปาก ...ขอบอกว่าเป็นมารยาทที่ไม่ถูกต้องจ้า

“ขนมปังจะเสิร์ฟทางด้านซ้ายมือเสมอ อย่าเผลอไปหยิบด้านขวานะครับ เพราะนั่นเป็นของคนข้างๆ ส่วนเวลาทาน ไม่ต้องใช้มีดหั่น ใช้มือได้เลย บิเป็นชิ้นพอคำ ไม่ใหญ่หรือเล็กจนเกินไป แล้วใช้มีดเล็กสำหรับปาดเนย ทาเนยแล้วก็ทาน” คุณทิวาอธิบาย

          ส่วนการใช้มีดและส้อมสำหรับตัดอาหารทาน แนะนำให้จับเหมือนดินสอจะถนัดมือ โดยคว่ำส้อมลงที่ชิ้นเนื้อ ใช้มีดตัดเป็นชิ้นพอคำ แล้วค่อยนำเข้าปากอย่างสุภาพ ไม่เพียงเท่านี้ คุณทิวายังให้ทิปแถมว่า 
          หากเป็นเนื้อที่ติดมากับกระดูก ให้ตัดเนื้อแยกออกจากกระดูกให้หมดชิ้นเสียก่อน จากนั้นนำกระดูกวางไว้ข้างจานแล้วค่อยทานเนื้อที่ตัดไว้ แต่หากเป็นปลาที่เสิร์ฟมาทั้งตัว (พบไม่บ่อยนัก) ก็มีข้อบ่งชี้ว่าห้ามพลิกตัวปลาค่ะ ให้ใช้ส้อมและมีดค่อยๆ เลาะก้างออกแล้วจึงทาน

ทานซุป => ตักออกตัว แล้วทานจากข้างช้อน

เรียนรู้มารยาทบนโต๊ะอาหารฝรั่งเศส กับกูรูเลอนอร์มังดี แมนดาริน โอเรียลเต็ล

        การทานซุป ในมารยาทสากลนั้น จะใช้วิธีตักซุปไปด้านหน้า (ออกจากตัว) แล้วรับประทานจากข้างช้อน โดยจะไม่นำทั้งช้อนเข้าปาก กรณีซุปใกล้หมดสามารถเอียงชามได้ แต่ก็ควรเอียงไปด้านหน้าอีกเช่นกัน ซึ่งสาเหตุที่ต้องเอียงแบบนี้ กูรูหนุ่มหน้าเข้ม ให้เหตุผลว่า การเอียงถ้วยซุปไปด้านหน้าจะทำให้แขนเรากางน้อยกว่า เอียงถ้วยเข้าหัวตัวค่ะ และยิ่งกางแขนน้อยเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นการรักษามารยาท ไม่รบกวนคนที่นั่งด้านข้างมากขึ้นเท่านั้น

       สำหรับถ้วยซุปจะมี 2 แบบ คือแบบจาน (plate) และแบบถ้วย (cup) ซึ่งแบบถ้วยนี้จะมีหูด้านข้างให้จับ เราสามารถจับที่หูแล้วยกน้ำซุปขึ้นมาซดได้ด้วย ทั้งนี้เมื่อทานซุปเสร็จแล้ว ให้นำช้อนซุปวางไว้ที่จานรอง อย่าทิ้งคาไว้ในชามนะคะ จะดูไม่งาม

หลังทานเสร็จ => รวบมีดส้อมให้ชิดแนว 5 โมง พับวางผ้าเช็ดปากแถวเก้าอี้

เรียนรู้มารยาทบนโต๊ะอาหารฝรั่งเศส กับกูรูเลอนอร์มังดี แมนดาริน โอเรียลเต็ล

       เมื่อทานอาหารในจานเสร็จ ให้รวบส้อมและมีดชิดกัน (โดยไม่จำเป็นต้องคว่ำส้อม) แล้ววางเฉียงไว้ที่จานประมาณ 5 นาฬิกา แต่หากสาวคนไหนเกิดนึก หน้าปัดนาฬิกาไม่ออกกระทันหัน จะวางด้ามส้อมและมีดให้ตรงกับตัวเราเลยก็ได้ค่ะ ไม่ถือว่าเสียมารยาท

       โดยมารยาทแล้ว ขณะรับประทานอาหารถ้าเลี่ยงการไปเข้าห้องน้ำได้ก็ควรเลี่ยง แต่หากมีความจำเป็นต้องไปจริงๆ ก่อนลุกให้ขออนุญาตผู้ร่วมโต๊ะสักนิด แล้วพับผ้าเช็ดปากให้เป็นสามเหลี่ยมขนาดเล็กพอควร แล้ววางไว้ที่วางแขนเก้าอี้ แต่หากเก้าอี้ไม่มีที่วางแขนก็วางไว้บนเก้าอี้ได้เลย

:: เกร็ดมารยาทดื่มชากาแฟ กับจิบไวน์

เรียนรู้มารยาทบนโต๊ะอาหารฝรั่งเศส กับกูรูเลอนอร์มังดี แมนดาริน โอเรียลเต็ล

          หลังทานอาหารคาว จะมีการเสิร์ฟชากาแฟ ซึ่งมารยาทการดื่มนั้นไม่มากมายค่ะ แค่ก่อนทานกาแฟเมื่อใส่ครีมเทียม หรือน้ำตาลแล้ว ให้คนเป็นลักษณะเลข 8 หรือคนเป็นวงกลมไปในทางเดียวกัน เสร็จแล้วให้วางช้อนไว้ที่จานรอง ค่อยยกดื่ม

          ส่วนของหวานหลังอาหาร หากเป็นขนมปังชิ้นเล็กๆ สามารถใช้มือหยิบทานได้เลย แต่ถ้าเป็นของหวานชิ้นใหญ่ ที่ส่วนมากจะตัดมาเป็นรูปสามเหลี่ยม ให้เริ่มตัดส่วนปลายแหลมทานก่อน


           ส่วนการดื่มไวน์ (wine) โดยปกติแล้ว แก้วที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ จะประกอบไปด้วยแก้วน้ำดื่ม แก้วไวน์ขาว และไวน์แดง สังเกตได้ง่ายๆ ว่า แก้วไวน์ขาว จะเล็กและปากแคบกว่าแก้วไวน์แดง เพราะโดยธรรมชาติแล้ว ไวน์ขาวจะไม่ต้องการสัมผัสอากาศมาก เท่ากับไวน์แดง

           และกฏเหล็กของการดื่มไวน์ก็คือ เวลายกดื่มให้จับเฉพาะที่ก้านแก้วเท่านั้น อย่าจับที่ตัวแก้ว เพราะอุณหภูมิจากมือของเรา จะทำให้อุณหภูมิของไวน์เปลี่ยน เมื่ออุณหภูมิเปลี่ยนรสชาติก็จะเปลี่ยนไปด้วย

          “ปกติแล้วไวน์ซอมเมอลิเยร์ จะรินไวน์ให้ในปริมาณ 1 ใน 7 ส่วนของแก้ว เป็นปริมาณพอเหมาะ ที่ยกดื่มง่าย แกว่งสะดวก ส่วนกรรมวิธีการเสิร์ฟไวน์ จะเริ่มจากไวน์ซอมเมอลิเยร์ทดสอบว่า ไวน์ขวดนั้นมีคุณภาพสมบูรณ์เต็มร้อยหรือไม่ หากมีคุณภาพดี ไม่เสีย ไม่บูด จึงจะให้คนที่สั่งไวน์ (เจ้ามือของมื้อนั้นๆ) เป็นผู้ทดสอบ จากนั้นจึงเสิร์ฟให้สุภาพสตรีในโต๊ะก่อน แล้วค่อยเสิร์ฟผู้ชาย เมื่อเสิร์ฟจนครบทุกคนแล้วถึงจะวนกลับมาเสิร์ฟให้ผู้สั่งไวน์ อธิบายง่ายๆ ก็คือ คนสั่งจะได้ชิมก่อน แต่จะถูกรินให้เป็นคนสุดท้าย” หัวหน้าไวน์ซอมเมอลิเยร์ทิวา ให้ข้อมูล

           อ้อ! ถ้าอยากดื่มด่ำกับรสไวน์แบบเต็มๆ กูรูแห่งเลอนอร์มังดีผู้นี้แนะว่า ก่อนดื่มให้แกว่งแก้วเล็กน้อย เพื่อให้กลิ่นไวน์หอมเพิ่มอีกนิด แล้วจะรู้สึกว่ารสชาติไวน์อร่อยขึ้นอีกเป็นกอง เพราะราคาของไวน์ครึ่งหนึ่งคือราคาของกลิ่น...


เรียนรู้มารยาทบนโต๊ะอาหารฝรั่งเศส กับกูรูเลอนอร์มังดี แมนดาริน โอเรียลเต็ล

*ทิปส์ส่งท้าย อิ่มแบบมีมารยาท ไม่เสียบุคลิก

- เลื่อนเก้าอี้เพื่อให้ตัวของคุณชิดกับโต๊อย่างพอเหมาะ เพื่อที่ขณะรับประทานอาหาร จะได้ตัวตรงดูสง่า ไม่หลังค่อม เพราะต้องโน้มตัวตักอาหาร

- ก่อนทานอาหาร ระหว่างรอบริกรเสิร์ฟเครื่องดื่ม ควรหาเรื่องคุยกับคนข้างๆ สักเล็กน้อย เพราะมันดูไม่ดีนัก ถ้าจะนั่งรอทานโดยไม่คุยกับใครเลย

- หากต้องการเครื่องปรุงรส ซึ่งเป็นของส่วนกลาง แต่หยิบไม่ถึง ให้ใช้วิธีขอคนที่อยู่ใกล้ส่งผ่านมาให้ ไม่ควรเอื้อมหรือลุกขึ้นไปหยิบเอง

- เมื่อได้รับอาหารก่อนคนในโต๊ะ อย่าส่งต่ออาหารให้ผู้อื่น ท่องไว้ว่าการเสิร์ฟอาหารเป็นหน้าที่ของบริกรเท่านั้น เพราะเขารู้ดีที่สุด ว่าต้องเสิร์ฟอาหารจานไหนให้กับใคร

- ก่อนดื่มน้ำ ควรใช้ผ้าเช็ดปากซับปากเสียก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้คราบอาหารติดที่ขอบแก้ว

 - หากส้อมหรือมีดหล่น ไม่ต้องก้มลงเก็บ เพราะโดยทั่วไปแล้วร้านอาหารหรูทั้งหลาย จะมีบริกรคอยสอดส่องดูแล เมื่อพบว่ามีอุปกรณ์การทานอาหารตก จะมีการนำมาเปลี่ยนให้อยู่แล้ว หากบริกรไม่เห็นค่อยกวักมือเรียกให้นำอุปกรณ์ที่ตกนั้นมาเปลี่ยน

- หลังรับประทานเสร็จ ให้วางผ้าเช็ดปากไว้บนโต๊ะ โดยพับหลวมๆ ไว้ และไม่ควรม้วนหรือขย้ำผ้าเช็ดปากนั้น